tag:blogger.com,1999:blog-14409242695188183062024-02-20T01:24:31.497-08:00ICT AgeICT คือเครื่องมือสำหรับช่วยการเรียนรู้ มิใช่เครื่องมือที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ICT Bloghttp://www.blogger.com/profile/10074429769959680842noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-1440924269518818306.post-18976851852400985432011-03-17T10:02:00.001-07:002011-03-17T19:53:41.176-07:00ห้องเรียนของวันพรุ่งนี้ (Classroom of Tomorrow)<div style="text-align: center;"><a href="http://thanompo.edu.cmu.ac.th/load/journal/50-51/Classroom%20of%20Tomorrow.pdf">ห้องเรียนของวันพรุ่งนี้ (Classroom of Tomorrow)</a><br />
รศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง<br />
ผอ.สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่</div> หากให้ผู้อ่านจินตนาการภาพของห้องเรียน ผู้เขียนเชื่อว่า ผู้อ่านส่วนใหญ่คงวาดภาพของ<br />
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัด ที่หน้าห้องอาจมีครูยืนอยู่ ใกล้ๆ กับ กระดานสีเขียว (ดำ หรือ ขาว)<br />
ภายในห้องเรียน คลาคล่ำไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้ และ อาจมีภาพของนักเรียนที่นั่งอยู่และคอยฟังครูผู้สอน<br />
อย่างตั้งใจ ภาพห้องเรียนที่เราเคยพบเห็นจนชินตาดังกล่าวนั้น กำลังจะเป็นภาพที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้<br />
เพราะ ในปัจจุบันได้เกิดความพยายามจากนักการศึกษาทั้งต่างประเทศ และในประเทศไทยเราที่<br />
ต้องการจะเห็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการศึกษาเรียนรู้ การเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่<br />
ตอบสนองต่อวิถีสังคม/ เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา บนฐานแห่งความรู้<br />
(knowledge-based society/economy) ซึ่งมุ่งเน้น การมี และการใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ โดย<br />
อาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร โทรคมนาคม<br />
ต่างๆ<br />
การก้าวเข้าสู่ ยุคแห่งสารสนเทศ นี้ ทำให้เกิดความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบและ<br />
วิธีการในการศึกษา การเรียน การสอน การเรียนรู้ ของคนในสังคมเพื่อให้เท่าทันต่อการ<br />
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบและวิธีการศึกษาเรียนรู้ในยุคหน้า จะมีลักษณะที่แตกต่างจากการ<br />
เรียนการสอนในลักษณะเดิม โดยนักการศึกษาในปัจจุบันเรียกการศึกษารูปแบบใหม่นี้ว่า<br />
Unconventional Education หรือ การศึกษาที่แตกต่าง ซึ่งก็คือ ความแตกต่างจากรูปแบบเดิมๆ<br />
(Traditional Education) นั่นเอง โดยนิยามของคำว่า การเรียนรู้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไป การเรียนรู้<br />
จะไม่ใช่แค่การจำ เข้าใจเนื้อหา หรือ การทำข้อสอบได้ดี หากจุดมุ่งเน้น ได้แก่ การที่ผู้เรียนมี<br />
ความสามารถในการเข้าใจในวิธีการเรียนรู้ (learning how to learn) ของตนเองได้อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ และ อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต การพัฒนาความสามารถในการสร้างองค์ความรู้จาก<br />
การลงมือทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ในบริบทของประสบการณ์จริง อย่างกระตือรือร้น นอกจากนี้<br />
ยังมุ่งเน้น ในด้านของทักษะของผู้เรียนในการรู้จักเลือก ที่จะรวบรวมและจัดเก็บเฉพาะองค์ความรู้ที่<br />
มีประโยชน์ การใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ดังกล่าว ความสามารถในการเลือกที่จะเรียนรู้สิ่ง<br />
ใหม่ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับความรู้เดิม หรือ สิ่งที่ผู้เรียนสนใจศึกษา นอกจากนี้ การเรียนรู้<br />
ในลักษณะนี้ ควรที่จะเกิดจากความร่วมมือกันของกลุ่มผู้เรียน และ/ หรือ ผู้สอน ถือ เป็นกิจกรรม<br />
ทางสังคมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องมุ่งเน้นส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ควรมุ่งเน้นในเรื่องของ<br />
การแข่งขัน(กันเรียน)แต่อย่างใด<br />
หลักสำคัญ 4 ประการ ของการเรียนรู้ด้วยวิธีการ Unconventional Education ได้แก่<br />
1. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งวิธีนี้ ผู้เรียนจะเป็นผู้ควบคุม<br />
การเรียนรู้ของตนเอง อำนาจและความรับผิดชอบในการเรียนจะอยู่ที่ผู้เรียนเป็นส่วนใหญ่ โดยมี<br />
ครูผู้สอนเป็นผู้สนับสนุน สร้างฐานการเรียนรู้แก่ผู้เรียน คอยชี้แนะการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่<br />
ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ที่ตัดสินใจเกี่ยวกับ การเรียนรู้ของตนเอง รู้จักที่จะประเมินตนเอง<br />
2. การเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น ทั้งนี้ กิจกรรมการเรียนรู้จะต้องสนับสนุนให้ผู้เรียนเรียนรู้<br />
อย่างสนุกสนาน ท้าทาย และเพลิดเพลิน การเรียนรู้อาจอยู่ในลักษณะเป็นกลุ่ม สมาชิกของกลุ่ม<br />
ผู้เรียนมีอิสระ และมีส่วนร่วมในการดำเนินงานร่วมกัน โดยทำงานด้วยกันเพื่อเป้าหมายร่วมกัน<br />
ผู้เรียนจะต้องเต็มใจที่จะช่วยซึ่งกันและกันในการแบ่งปัน หรือแลกเปลี่ยนทักษะและแนวคิดกัน<br />
ผู้เรียนจะต้องแข่งขันกับความสามารถเดิมของตน ไม่ใช่แข่งกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน<br />
3. การบูรณาการ ICT ในการศึกษาเรียนรู้ ซึ่งมีอยู่หลายลักษณะ อย่างไรก็ดี สาระที่สำคัญ<br />
ที่สุดของการบูรณาการ ICT แบบ Unconventional Education ได้แก่ การให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝน<br />
ทักษะในการสืบเสาะ สืบค้น การติดต่อสื่อสาร การแสดงออกด้านต่างๆ และ การสร้างสรรค์ผลงาน<br />
โดยอาศัยเทคโนโลยี ICT อันได้แก่ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการ<br />
สื่อสารโทรคมนาคมต่างๆ<br />
4. การสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสม จากการวิจัยทางด้านสมอง สามารถสรุปได้<br />
ว่า สภาวะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของสมองของมนุษย์ ได้แก่ สมองที่มีลักษณะของการตื่นตัวแบบผ่อน<br />
คลาย (relaxed alertness) จึงเป็นหน้าที่สำคัญ ของผู้สอนในการจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้<br />
เหมาะสม เพื่อให้สมองของผู้เรียนอยู่ในภาวะที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ได้ดีที่สุด รวมถึง การ<br />
ส่งเสริมให้เกิดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น การจัดแสง สี อุณหภูมิห้อง เฟอร์นิเจอร์ หรือ กลิ่น<br />
ก็ตาม ให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน<br />
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า การเรียนรู้ส่วนใหญ่ของการเรียนด้วยวิธี<br />
Unconventional Education นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในภาพของห้องเรียนสี่เหลี่ยมในลักษณะเดิม<br />
ทั้งนี้เพราะ การเรียนรู้ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา คำว่า ห้องเรียนจะขยายขอบเขตจากเดิม ออก<br />
ไปสู่โลกภายนอก ตามบริบทจริงที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้นั้นๆ โดยโลกภายนอกนั้น อาจเป็นโลก<br />
ภายนอกจริงๆ หรือ โลกเสมือนจริง ก็ได้<br />
สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งในผู้นำในด้านการพัฒนา<br />
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา และการบริหารจัดการ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเตรียม<br />
ความพร้อมของชุมชนในการก้าวไปสู่การเรียนรู้ในยุคสมัยหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนา<br />
ห้องเรียนของวันพรุ่งนี้ จึงได้จัดตั้ง ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ (Learning Innovation Center) ขึ้น<br />
เป็นแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อเป็นต้นแบบของการสาธิตวิธีการเรียนรู้ รวมถึง<br />
ห้องเรียนแห่งอนาคต เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง และ นักเรียน นักศึกษา ได้มีโอกาส<br />
ในการปรับตัวสู่การเรียนรู้ในลักษณะใหม่ โดยกิจกรรมของศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ จะมีการ<br />
จัดการอบรม สัมมนา ในหลักสูตรเนื้อหาในศาสตร์ต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์<br />
คณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการ 4 ประการ ของ Unconventional Education โดยหลักสูตรเริ่มต้นจะเน้น<br />
ผู้เรียนในช่วงชั้นที่ 1 และ 2 (ประถมศึกษา 1-6) สนใจรายละเอียด สามารถติดต่อได้ที่<br />
itsc@chiangmai.ac.th หรือ เว็บไซต์ itsc.cmu.ac.th โทรศัพท์ 053-943811 แฟ็กซ์ 053-943818/<br />
216747ICT Bloghttp://www.blogger.com/profile/10074429769959680842noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1440924269518818306.post-87691367615007112602011-03-17T09:57:00.000-07:002011-03-17T10:47:32.836-07:00กว่าทศวรรษของ ICT เพื่อการศึกษา : ถึงเวลาวาระแห่งชาติ?<div style="text-align: center;"><a href="http://thanompo.edu.cmu.ac.th/load/journal/50-51/ICT_matichon.pdf">กว่าทศวรรษของ ICT เพื่อการศึกษา : ถึงเวลาวาระแห่งชาติ?</a></div><div style="text-align: center;">รศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง</div><div style="text-align: center;">ผอ.สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่</div><div style="text-align: center;">(ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551)</div><br />
เป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ที่ประเทศไทยได้เริ่มเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทางด้าน<br />
เทคโนโลยีสารสนเทศ รัฐบาลในขณะนั้นได้กำหนดให้ปี พ.ศ.2538 เป็นปีแห่งการพัฒนาทางด้าน<br />
เทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศ โดยเริ่มมีการวางแผนและเริ่มดำเนินการในการพัฒนา ICT<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ICT เพื่อการศึกษา อย่างไรก็ดี วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงต่อมาส่งผลให้การพัฒนา<br />
ICT เพื่อการศึกษาเกิดการชะงักตัว เนื่องมาจากงบประมาณที่จำกัด เรื่อยมา จนปี พ.ศ.2545 การ<br />
พัฒนา ICT เพื่อการศึกษาเริ่มกลับมาเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายอีกครั้ง นับจากวัน<br />
นั้นเป็นต้นมา หลายหน่วยงานด้านการศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยได้มีการลงทุนทั้ง<br />
ในแง่ของงบประมาณ เวลา และความพยายามในการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษา ทั้งในระดับการศึกษา<br />
ขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษา อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่การพัฒนาดังกล่าวยังคงเป็นไป<br />
ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ต่างคนต่างพัฒนา ตามบริบทและความพร้อมขององค์กรแต่ละแห่ง ขาด<br />
ซึ่งทิศทางที่ชัดเจนสำหรับการวางแผนระยะยาว ซึ่งส่งผลให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนเสียเปล่า การ<br />
พัฒนา ICT ในสถาบันการศึกษาในลักษณะดังกล่าว จึงนอกจากจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่า คุ้ม<br />
ทุนแล้ว ยังส่งผลให้การยอมรับของครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ในการนำ ICT มาใช้ให้เกิด<br />
ประโยชน์อย่างจริงจังเกิดขึ้นอย่างจำกัดเพียงในวงแคบๆ เท่านั้น อันที่จริง การที่ ICT จะสามารถ<br />
เปลี่ยนผ่านจากระยะเริ่มต้น (initiation phase) ยอมรับนวัตกรรม ไปสู่ระยะแห่งการจุดไฟ และระยะ<br />
แห่งการเติบโต (firelight phase and growth phase) ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่า<br />
จะเป็น นโยบายระดับภูมิภาค นโยบายรัฐ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน ฯลฯ<br />
แต่อย่างไรก็ดี ฝ่ายที่มีความสำคัญมากที่สุดฝ่ายหนึ่งในขณะนี้ อาจได้แก่ ผู้ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการ<br />
กำหนดนโยบายและทิศทางของการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษาของประเทศไทย รวมทั้งการ<br />
ควบคุมดูแลให้การบริหารจัดการเป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้<br />
บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อนำเสนอตัวอย่างการปฏิบัติที่ดีในการกำหนดนโยบายและทิศ<br />
ทางการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษา โดยในบทความนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอตัวอย่างของการพัฒนา<br />
e-Learning ของประเทศเกาหลีใต้ ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาการใช้<br />
เทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการศึกษา (ICT in Education) ประเทศหนึ่งในปัจจุบัน ตัวอย่างของ<br />
การวางแผน รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับการขับเคลื่อนแผนให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้มี<br />
ส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการกำหนดนโยบายและทิศทางของการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษาในบ้านเรา<br />
ได้เข้าใจและนำแบบอย่างที่ดีไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติต่อไป<br />
นโยบายการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษา<br />
• วาระแห่งชาติเกาหลีใต้<br />
แม้ว่าประเทศเกาหลีใต้จะประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับประเทศ<br />
ไทย แต่ในขณะนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ประเทศเกาหลีใต้ได้กลายเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในเอเชีย<br />
ที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่จับตามองจากทั่วโลก การศึกษา นับได้ว่า<br />
เป็นส่วนประกอบสำคัญประการหนึ่งของความสำเร็จในการพัฒนาดังกล่าว เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศ<br />
อันดับสอง รองจากประเทศฟินแลนด์เท่านั้น ที่มีการพัฒนาการใช ICT เพื่อการศึกษาในลักษณะทั้ง<br />
ระบบ (systemic) ไม่ว่าจะเป็นในระดับโรงเรียนประถมศึกษา มัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา การ<br />
พัฒนาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด หากเกิดจากการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากแผน<br />
ของการพัฒนาระยะยาว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ<br />
ในระยะแรก (2540-2543) รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พัฒนาแผนการพัฒนาไอซีทีเพื่อการศึกษาขึ้น ที่<br />
มีชื่อว่า Comprehensive Plan for ICT in Education (CPIE) หนึ่งในนโยบายสำคัญที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมี<br />
ความท้าทายมาก และถือได้ว่าเป็นเสาหลักของการพัฒนาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การมุ่งสู่การเป็น<br />
ประเทศที่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายมากที่สุดในโลก ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาสาธารณูปโภคที่<br />
เกี่ยวข้อง การทำให้ทุกห้องเรียนมีคอมพิวเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ ในขณะเดียวกัน<br />
มีการพัฒนาผู้สอนทุกคนให้ใช้ ICT และการริเริ่มโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์<br />
ในระยะที่สอง (2544-2547) ได้เริ่มมุ่งเน้นทางด้านของการใช้ ICT ในหลักสูตรการเรียนการ<br />
สอน มีการพัฒนาศูนย์การเรียนการสอน และห้องสมุด ทั้งในระดับรัฐ ท้องถิ่น และโรงเรียน ที่สำคัญ<br />
มีโครงการในลักษณะที่เป็นการสร้างคลังของหลักการปฏิบัติที่ดี (best practices) สำหรับผู้สอนเพื่อ<br />
การเผยแพร่และแบ่งปันสารสนเทศร่วมกัน ในขณะเดียวกันบริการพัฒนาผู้สอนทุกคนให้ใช้ ICT<br />
ระยะที่สอง (ต่อเนื่องจากระยะที่หนึ่ง) นอกจากนี้ เกิดแผนการพัฒนาระดับชาติขึ้น ชื่อว่า แผนการลด<br />
จำนวนการเรียนพิเศษหลังเรียนของนักเรียน ด้วยระบบออกอากาศทางการศึกษา หรือ Master plan<br />
for reducing private tutoring with Educational Broadcasting System (EBS) ซึ่งถือเป็นแผนสำคัญใน<br />
การทำให้เกิดการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษาอย่างยั่งยืน<br />
สำหรับในระยะที่สาม (2548-ปัจจุบัน) จุดมุ่งเน้นของแผนพัฒนา ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงอย่าง<br />
เป็นระบบของการศึกษาในโรงเรียนและอุดมศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้<br />
กำหนดทิศทางการเรียนรู้ของตนเอง รวมถึงการมองไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้น อันได้แก่ ulearning<br />
(ubiquitous learning) นอกเหนือจาก e-learning ในการจัดการเรียนการสอน<br />
นอกจากแผนพัฒนาที่ชัดเจน โดยมีการลงรายละเอียดไปถึงแผนปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม สิ่งสำคัญ<br />
ได้แก่ การกำหนดถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ผู้มีส่วนได้ส่วน<br />
เสียของ Comprehensive Plan for ICT in Education (CPIE) ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการและ<br />
ทรัพยากรบุคคล รวมทั้งกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสารสนเทศ<br />
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากร<br />
โดยแผนดังกล่าวไม่ใช่ถือเป็นเพียงแผนการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาเท่านั้น แต่เป็นการ<br />
เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของชาติ ทั้งระบบด้วยไอที โดยมีการสร้างให้เกิดการยอมรับร่วมกันว่า<br />
การลงทุนด้าน ICT รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้าน ICT เป็นหนึ่งทางเลือกที่ดี เป็นทิศทาง<br />
ในการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ไปสู่สังคม/เศรษฐกิจบนฐานความรู้ของประเทศ นอกจากนี้ มีการ<br />
ตกลงร่วมกันในการส่งเสริมการใช้ ICT เพื่อการศึกษา ไม่จำกัดเฉพาะรัฐบาล แต่รวมถึงบริษัท<br />
หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 3 แห่งของประเทศ ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก หนังสือพิมพ์ทั้ง 3 แห่ง<br />
ได้ร่วมกันรณรงค์ในระดับประเทศในการส่งเสริมการใช้ ICT เพื่อการศึกษา มีการแบ่งความ<br />
รับผิดชอบกันอย่างชัดเจน โดยแต่ละบริษัทเลือกรับผิดชอบการรณรงค์แต่ละระดับ (ประถมศึกษา<br />
มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา) โดยการรณรงค์ใช้วิธีการในลักษณะเดียวกันกับการโฆษณา และที่สำคัญ<br />
คือ การให้ประชาชนทุกคนมีความรู้ ความเข้า และตระหนักถึงความสำคัญของการมี การใช้ ICT เพื่อ<br />
การศึกษาเรียนรู้ หลังจากการเข้าร่วมการพัฒนาฯของหนังสือพิมพ์แล้ว ค่ายโทรทัศน์ต่างๆ รวมทั้ง<br />
องค์กรด้าน NGOs หลายแห่งได้เข้าร่วมในการส่งเสริมการพัฒนาดังกล่าว จึงเกิดภาพความร่วมมือ<br />
สำคัญ 3 ฝ่าย อันได้แด่ 1) รัฐบาล 2) สื่อ NGOs พร้อมด้วย 3) หน่วยงานด้านการศึกษา ขึ้น จากนั้น<br />
บริษัททางด้านไอทีต่างหันมาร่วมมือกันดำเนินการส่งเสริมการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ ไปพร้อมๆ<br />
กัน ทำให้การพัฒนาดังกล่าวประสบความสำเร็จตามแผนเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญอีก<br />
ประการ คือ สาเหตุของการพัฒนาที่ยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบันสาเหตุหนึ่งได้แก่ แผนการพัฒนา ชื่อ<br />
Master plan for reducing private tutoring with Educational Broadcasting System (EBS) นั่นเอง<br />
เกาหลีใต้มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในส่วนที่ ผู้ปกครองกลุ่มที่มีความพร้อมในเกาหลีใต้จะ<br />
ยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน มีการส่งบุตรหลานไปเรียนพิเศษ โดยยอมเสียค่าใช้จ่าย<br />
ที่สูง (มาก) รัฐบาลเกาหลีใต้จึงเกิดแนวคิดในการแก้ปัญหาการลงทุนทางด้านการศึกษาในลักษณะ<br />
ดังกล่าวด้วย การพัฒนาแผน e-Learning สำหรับการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดย<br />
มีการระดมครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านการสอนในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มาเปิดการ<br />
สอนในระบบ EBS แทนการเปิดสอนติวเตอร์เอง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงการ<br />
สอนของครูอาจารย์ดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ปกครองพอใจที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย<br />
ในการจ่ายค่าติวเตอร์แล้วนั้น ยังเป็นการลดช่องว่างระหว่างการเข้าถึงการศึกษาระหว่างกลุ่มคนมี<br />
ฐานะดี ที่สามารถเข้าถึงครูผู้สอนที่มีชื่อเสียง และกลุ่มที่ขาดแคลนและขาดโอกาสการเข้าถึงครูผู้สอน<br />
ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย สิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ ของการนโยบายการพัฒนา ICT ของประเทศเกาหลี<br />
ใต้ ได้แก่ ความชัดเจนในเรื่องบทบาทของ ICT ในแต่ละระยะของการพัฒนา เป็นที่ชัดเจนว่า ข้อ<br />
ได้เปรียบหลักๆ ของ ICT ได้แก่ ความสามารถในการช่วยให้การสื่อสารของผู้คนในสังคมเป็นไป<br />
อย่างไร้ข้อจำกัด รวมไปถึงการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศที่หลากหลายอย่างสะดวกสบาย ในแต่ละระยะ<br />
ของการพัฒนาฯนั้น เกาหลีใต้มีการกำหนดบทบาทของ ICT ไว้อย่างชัดเจน เช่น ในระยะแรกของการ<br />
พัฒนาฯนั้น ICT เองถือว่าเป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง กล่าวคือ การมุ่งเน้นการพัฒนาจะอยู่ที่ ความ<br />
ตระหนักร่วมกันถึงความสำคัญและข้อได้เปรียบของ ICT เพื่อการศึกษาจากความชัดเจนดังกล่าวทำ<br />
ให้เกิดการยอมรับและความร่วมมือท่ามกลางทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดังที่ได้กล่าวมา<br />
นอกจากนี้ สำหรับระยะที่สองนั้น มีการกำหนดบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของ ICT ไปสู่การ<br />
เป็นวิธีการหนึ่งในการรวบรวมและเผยแพร่และแบ่งปันสารสนเทศร่วมกันของประเทศ รวมทั้งการ<br />
สร้างคลังของหลักปฏิบัติที่ดีขึ้นเพื่อใช้ร่วมกัน ในระยะนี้ ครอบคลุมการส่งเสริมให้เกิดชุมชนการ<br />
เรียนรู้ออนไลน์สำหรับครู ผู้สอน นักการศึกษา สำหรับบทบาทของ ICT ในแผนพัฒนาปัจจุบัน หรือ<br />
ในระยะที่ 3 นั้น มีการกำหนดบทบาทสำคัญ ได้แก่ การมอง ICT เป็นเครื่องมือสนับสนุนให้เกิดการ<br />
เรียนรู้ด้วยตนเองของคนในสังคมไม่จำกัดเฉพาะผู้เรียนเท่านั้น เน้นการสร้างเนื้อหา (คอนเทนต์) ด้วย<br />
ตนเอง โดยในระยะนี้ นโยบายจากส่วนกลางจะเริ่มลดลง การพัฒนาส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นให้เกิดจาก<br />
ชุมชนและท้องถิ่นเองเป็นหลัก<br />
บทสรุป<br />
จากที่ไดก้ ล่าวถึงนโบายในการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษา กรณีศึกษาของเกาหลีใตนั้น<br />
สามารถสรุปได้ว่า ความสำเร็จในการพัฒนานโยบายการพัฒนา ICT ของประเทศเกาหลีใต้ ขึ้นอยู่กับ<br />
ความจริงจังในการบริหารจัดการของภาครัฐ โดยการถือเอาการพัฒนาดังกล่าวในเรื่องดังกล่าวเป็น<br />
วาระแห่งชาติ มีผู้นำระดับสูงเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา<br />
และพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วย รวมทั้งรัฐมนตรี<br />
กระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างแข่งขันกันในการสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา ICT ในด้าน<br />
ต่างๆ ที่ตนเองรับผิดชอบ การดึงภาคเอกชน โดยเฉพาะสื่อมวลชน NGOs บริษัทไอทีต่างๆ เข้ามาเป็น<br />
ส่วนหนึ่งของการพัฒนา รวมทั้งการไม่มองข้ามในเรื่องการส่งเสริมให้มีโครงการในลักษณะที่มี<br />
ผลกระทบต่อความต้องการต่อชุมชนโดยภาพรวม เช่น การพัฒนา ICT เพื่อช่วยผู้ปกครองในด้าน<br />
การศึกษาของบุตรหลาน รวมทั้งการส่งเสริมในเรื่องที่สำคัญมาก ได้แก่ การสร้างคลังความรู้ของการ<br />
ปฏิบัติที่ดี และการพัฒนาวิชาชีพ/การอบรมครูผู้สอนไปพร้อมๆ ไปกับแผนการพัฒนา ตั้งแต่เริ่มต้น<br />
สำหรับบ้านเรานั้น ผู้เขียนก็ได้แต่หวังว่า ผู้ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและ<br />
ทิศทางของการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษาของประเทศไทยท่านใหม่ คงจะมีความรู้ความสามารถ<br />
รวมทั้งความจริงจังและจริงใจในการดำเนินการวางนโยบาย กำกับ และติดตามการวางแผน ด้านการ<br />
พัฒนา ICT เพื่อการศึกษาของชาติ เพื่อให้เกิดทิศทางการพัฒนา ICT ในบ้านเราร่วมกันระหว่าง<br />
หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน เกิดการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า คุ้มทุน และยั่งยืน บน<br />
พื้นฐานของบริบท เศรษฐกิจ สังคม การเรียนรู้แบบไทยๆ ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้<br />
ของผู้เรียน ครู และการเรียนการสอน เพื่อสร้างทรัพยากรบุคคลที่เข้มแข้งของประเทศ ซึ่งถือเป็น<br />
เป้าหมายสำคัญของการพัฒนา ICT เพื่อการศึกษาในที่สุดICT Bloghttp://www.blogger.com/profile/10074429769959680842noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1440924269518818306.post-61091826641628629352011-03-17T09:55:00.000-07:002011-03-17T09:55:39.744-07:00การเรียนรู้ในยุคสมัยหน้า : ตอนรูปแบบและทฤษฎีการเรียนรู้แห่งอนาคต รศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง1<br />
<div style="text-align: center;">การเรียนรู้ในยุคสมัยหน้า : ตอนรูปแบบและทฤษฎีการเรียนรู้อนาคต<br />
รศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง<br />
ผอ.สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่</div><br />
<br />
ในขณะที่วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีต่างๆ ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง<br />
แต่การพัฒนาของศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้กลับมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างค่อยเป็นค่อย<br />
ไป สังเกตได้จากปริมาณที่จำกัดของข้อค้นพบ หรือองค์ความรู้ใหม่ๆ อันเกิดจากงานวิจัย ซึ่ง<br />
ครอบคลุม หลักการ ทฤษฎี และ นวัตกรรมรูปแบบการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการ<br />
เรียนรู้ของมนุษย์ ที่ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดผลต่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและ<br />
ประสิทธิผลของผู้เรียนในปัจจุบัน สาเหตุหลัก อาจได้แก่ ข้อจำกัดในการแสวงหาคำตอบของ<br />
คำถามที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์<br />
เพียงมิติเดียว กอปรกับ การที่ศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง<br />
กับ การทำงานของสมองนั้น เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานของงานวิจัย ที่มี<br />
การดำเนินการในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา ยังพอมีข้อค้นพบใหม่ๆ ที่สำคัญ และเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้<br />
ของมนุษย์ อันมีประโยชน์ในการนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน การอบรม ทั้งนี้เพื่อการ<br />
พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />
บทความนี้ จะนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้ในอนาคต ครอบคลุม การจัด<br />
สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ช่วยกระตุ้นทักษะการคิดและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยผ่าน<br />
สื่อคอมพิวเตอร์และสื่อสารโทรคมนาคม หรือที่เรียกว่า ไอซีที รวมทั้งการนำเสนอ ทฤษฎีการ<br />
เรียนรู้ใหม่ๆ ที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ในยุคหน้า ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้ จะช่วยให้<br />
ผู้รับผิดชอบในการวางแผน และดำเนินการผลิตครูผู้สอนทั้งในยุคนี้ (ครูประจำการ) และในยุคสมัย<br />
หน้า (ว่าที่ครู) ให้ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องในการปรับมาตรฐาน<br />
การพัฒนาวิชาชีพครูให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ในยุคใหม่ให้มากยิ่งขึ้น และ การปรับปรุงหลักสูตร<br />
ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครูพันธุ์ใหม่ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น<br />
รูปแบบและทฤษฎีการเรียนรู้แห่งอนาคต<br />
ในส่วนแรกนี้ จะนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ รูปแบบการเรียนรู้ที่สำคัญในอนาคต ภาพ 1<br />
แสดงให้เห็นถึง รูปแบบการเรียนรู้ 3 ลักษณะ (จากซ้ายไปขวา) ได้แก่ 1) การเรียนรู้ในลักษณะที่มี<br />
ครูผู้สอนเป็นผู้ศูนย์กลาง กระบวนการเรียนรู้เกิดจากการถ่ายทอดจากผู้สอนสู่ผู้เรียน 2) การเรียนรู้<br />
ในลักษณะที่เน้นความร่วมมือกัน กระบวนการเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้ง<br />
ผู้เรียนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้สอน และ/หรือชุมชนของการเรียนรู้ และ 3) การเรียนรู้ในลักษณะที่<br />
คล้ายคลึงกันกับลักษณะที่สอง แต่มีการจัดสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ต่างๆ เพิ่มเติม เช่น ทรัพยากร<br />
2<br />
การเรียนรู้ แหล่งสื่อต่างๆ ทั้งในรูปดิจิตัลและไม่ใช่ดิจิตัล รวมถึงการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้<br />
ในลักษณะที่สร้างฐานความรู้ให้แก่ผู้เรียน (knowledge scaffolding)<br />
ภาพ 1: ภาพแสดงการเปรียบเทียบรูปแบบการเรียนรู้ใน 3 ลักษณะ<br />
แนวโน้มของรูปแบบการเรียนรู้ในอนาคตนั้น ได้แก่ การผสมผสานระหว่างรูปแบบการ<br />
เรียนรู้ทั้ง 3 ลักษณะอย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญได้แก่ ความพยายามของครูผู้สอน (และผู้เรียน) ในการ<br />
ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอนและการเรียนรู้จากรูปแบบที่ 1 มาสู่รูปแบบที่ 2 และ 3 ให้มากขึ้น<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการสอนและการเรียนรู้ในลักษณะที่ 3 นั้นเป็นรูปแบบที่ครูผู้สอน<br />
จำเป็นต้องให้ความสนใจ เพราะ มีหลักฐานงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนว่า เป็นรูปแบบการเรียนรู้<br />
ที่มีประสิทธิภาพมากหากผู้สอนมีการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้แบบร่วมมือ<br />
กัน พร้อมไปกับการจัดหาทรัพยากรการเรียนรู้ และการสร้างฐานความรู้ให้กับผู้เรียนที่เหมาะสม<br />
อย่างไรก็ดี การจัดรูปแบบการเรียนรู้ในลักษณะที่ 3 นั้น ครูผู้สอนจำเป็นต้องมีทักษะด้านไอซีทีที่<br />
เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการพัฒนาสื่อ การจัดหาแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ให้กับผู้เรียน ดังนั้นการพัฒนาทักษะ<br />
ด้านไอซีทีแก่ผู้สอน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต สำหรับผู้เรียนนั้น ทักษะด้านไอซีทีอาจ<br />
ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล เพราะ ผู้เรียนในอนาคต1 จะสามารถปรับตัวกับรูปแบบการเรียนรู้ในอนาคตได้<br />
อย่างรวดเร็ว(กว่าผู้สอน) เนื่องจากความเคยชินจากสังคมรอบตัวที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา<br />
ในการพัฒนาทักษะครูผู้สอนด้านไอซีทีนั้น นอกจากในการอบรมทักษะให้ครูผู้สอน<br />
สามารถสร้างและ/ หรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและเนื้อหาการเรียนรู้ในรูปดิจิตัลแล้ว ครูผู้สอน<br />
ควรมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้ ศักยภาพของการนำไอซีทีไปใช้ในลักษณะของ<br />
เครื่องมือ (tool) การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ซึ่งเน้นทักษะกระบวนการคิดของผู้เรียนตัวอย่าง เช่น<br />
การใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือที่ให้ผู้เรียน เพื่อน และผู้สอน เกิดการปฏิสัมพันธ์ อภิปราย แลกเปลี่ยน<br />
ความคิดเห็นเชิงวิพากษ์อย่างยืดหยุ่น โดยไม่จำกัดด้านเวลาและสถานที่ หรือ การออกแบบกิจกรรม<br />
การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ที่เน้นทักษะกระบวนการคิดผ่านทางการใช้ไอซีที เช่น การสรุปความคิด<br />
1 ตัวอย่างเช่น ผู้เรียนในยุคทวีนนี่ เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงที่การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นทีแพร่หลายแล้ว ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับ<br />
ผู้เรียนในยุคทวีนนี่ ได้ จากตอน 2 ของบทความ การเรียนรู้ในยุคสมัยหน้า : ตอนคุณลักษณะที่จำเป็นของผู้เรียนยุคทวีนนี่ (Tweenies)<br />
3<br />
รวบยอดโดยใช้ซอฟต์แวร์ช่วยการวางแผน หรือ การคิดวิเคราะห์ข้อมูลด้านต่างๆ จากโปรแกรม<br />
ฐานข้อมูลด้านต่างๆ เป็นต้น<br />
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญของอนาคต<br />
ในส่วนนี้ จะขอกล่าวถึง ทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญในอนาคต 3 ทฤษฎี อันได้แก่<br />
1) การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 2) การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-based<br />
Learning) และ 3) ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism)<br />
1) การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
ทฤษฎี การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน เกิดจากแนวคิดที่ว่า การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการเรียน<br />
จากครูผู้สอนเท่านั้น หากเกิดจาก การที่ผู้เรียนร่วมมือกับผู้สอนในการเรียนรู้ด้วยตนเอง กับเพื่อน<br />
หรือกับชุมชนการเรียนรู้ของตน ภายใต้เป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกัน ตาราง 1 เปรียบเทียบทฤษฎีการ<br />
เรียนรู้แบบดั้งเดิม กับ การเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อย่างไรก็ดี คงต้องย้ำใน<br />
ที่นี้ว่า บทความนี้ไม่ต้องการนำเสนอความคิดที่ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบดั้งเดิมเป็นสิ่งที่ล้าสมัย<br />
และไม่ควรนำไปใช้ หากแต่ครูผู้สอนที่ดี ควรรู้จักเลือกผสมผสานระหว่างทั้ง 2 ทฤษฎี/ วิธีการให้<br />
มากขึ้น หลีกเลี่ยงการสอนที่มุ่งเน้นเฉพาะลักษณะใดลักษณะหนึ่ง รวมทั้งตระหนักว่า แนวโน้มของ<br />
ทฤษฎี การเรียนรู้ในอนาคตนั้น จะอยู่ในลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่มีผู้เรียนเป็น<br />
ศูนย์กลาง<br />
การเปรียบเทียบการสอนแบบดั้งเดิม และ การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
การสอนแบบดั้งเดิม การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
สิ่งแวดล้อมที่ครูเป็นศูนย์กลาง สิ่งแวดล้อมที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
ครูเป็นผู้ควบคุมการเรียนการสอน ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง<br />
ส่วนใหญ่อำนาจและความรับผิดชอบอยู่ที่ครู ส่วนใหญ่อำนาจและความรับผิดชอบอยู่ที่<br />
ผู้เรียน<br />
ครูเป็นผู้สอนและผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อหาการ<br />
เรียนรู้<br />
ครูเป็นผู้สนับสนุนและคอยแนะนำ ผู้เรียนเป็นผู้<br />
ตัดสินใจเลือกเนื้อหาการเรียนรู้<br />
ธรรมชาติของประสบการณ์การเรียนบ่อยครั้งอยู่<br />
ในลักษณะของการแข่งขันระหว่างผู้เรียน<br />
ด้วยกัน ผู้เรียนจะไม่พอใจหากผู้เรียนคนอื่น<br />
ลอกเลียนแบบ (copy) ความคิดของตนเอง<br />
การเรียนรู้อาจอยู่ในลักษณะเป็นกลุ่ม (ร่วมมือ<br />
กันหรือ โดยอิสระก็ตาม) ผู้เรียนทำงานด้วยกัน<br />
เพื่อเป้าหมายร่วมกัน ผู้เรียนเต็มใจที่จะช่วยซึ่ง<br />
กันและกันในการแลกเปลี่ยนทักษะและแนวคิด<br />
ผู้เรียนแข่งขันกับความสามารถเดิมของตน<br />
4<br />
การเปรียบเทียบการสอนแบบดั้งเดิม และ การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
การสอนแบบดั้งเดิม การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
ลักษณะของงาน อยู่ในรูปของชุดของภาระงาน<br />
ย่อยๆ ที่ผู้สอนกำหนดให้ ภายใต้สาระวิชาที่แยก<br />
ออกจากกันค่อนข้างชัดเจน<br />
ลักษณะของงานอยู่ในรูปของโครงงานหรือ<br />
โจทย์ปัญหาจากสภาพจริง และมีการบูรณาการ<br />
สาระวิชาต่างๆ เข้าด้วยกัน<br />
การเรียนรู้เกิดขึ้นในชั้นเรียน การเรียนรู้ขยายขอบเขตจากชั้นเรียนออกไป<br />
เนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่กระบวนการที่ผู้เรียนเกิดการ<br />
ประมวลผล ข้อมูล สารสนเทศ และการนำผลที่<br />
ได้จากการวิเคราะห์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์<br />
ผู้เรียนได้รับความรู้จากการฝึกและการปฏิบัติ ผู้เรียนประเมิน ตัดสินใจ และรับผิดชอบการ<br />
เรียนรู้ของตนเอง ผู้เรียนได้รับความรู้โดยการ<br />
สร้างความรู้ด้วยตนเอง<br />
การเรียนรู้เนื้อหาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นตาม<br />
บริบท<br />
การเรียนรู้เนื้อหาการเรียนเกิดขึ้นในบริบทที่<br />
เกี่ยวข้อง<br />
ตาราง 1: ตารางเปรียบเทียบการสอนแบบดั้งเดิมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
2) การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-based learning)<br />
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน2 เป็นทฤษฎีซึ่งเกิดจากแนวคิดที่ว่า คนเกิดมาพร้อมกับ<br />
จำนวนเซลสมองที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต การขยายตัวของสมองไม่ได้เกิดจากการเพิ่มจำนวนเซล<br />
ของสมอง แต่มาจาก “ใยประสาท” สมองของคนเรานั้น มีความยืดหยุ่น หากเราใช้สมองในการ<br />
แก้ไขปัญหา สมองก็จะมีการสร้างใยประสาทเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ใช้ใยประสาทก็จะถูกทำลายลง<br />
ในการประยุกต์ทฤษฎีนี้สู่การปฏิบัตินั้น คงต้องทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สมอง<br />
กับการเรียนรู้ กล่าวคือ สมองมีการเชื่อมโยงกับอารมณ์ของคน ในขณะที่อารมณ์ของคนก็จะส่งผล<br />
ต่อการเรียนรู้ โดยอารมณ์จะเป็นตัวช่วยเราในการเรียกความทรงจำเดิมที่เก็บไว้ในสมองออกมาใช้<br />
สำหรับภาวะของสมองที่เหมาะสมที่สุดต่อการเรียนรู้ ได้แก่ ภาวะของสมองที่มี ความตื่นตัวแบบ<br />
ผ่อนคลาย (Relaxed alertness) ดังนั้น ครูผู้สอนจึงมีหน้าที่ในการสร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้แก่<br />
ผู้เรียนในลักษณะที่ทันสมัย เพลิดเพลิน แตท่ ้าท้ายและชวนใหห้ าคำตอบ เพื่อกระตุน้ ให้ผู้เรียนเกิด<br />
การตื่นตัวแบบผ่อนคลาย มากกว่าความรู้สึกเครียด กังวลและกดดัน เพราะสิ่งแวดล้อมดังกล่าว อาจ<br />
ทำให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ทางลบแก่ผู้เรียนได้ รวมทั้ง แนวคิดที่สำคัญ จากทฤษฎีการเรียนรู้โดย<br />
ใช้สมองเป็นฐาน ได้แก่ การที่การเรียนรู้ของคนจะประสบความสำเร็จที่สุดเมื่อกิจกรรมการเรียนรู้<br />
2 อ้างอิงจาก วิโรจน์ ลักขณาอดิศร การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning: BBL) กับการสร้างเด็กเก่ง (www.se-edlearning.com)<br />
5<br />
เกี่ยวข้องโดยตรงกับประสบการณ์ของผู้เรียนที่เป็นรูปธรรมและสามารถจับต้องได้ เพราะคนเราจะ<br />
จำสิ่งต่าง ๆ ได้แม่นยำที่สุดเมื่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ และทักษะฝังอยู่ในจากกิจกรรมในชีวิตจริงตาม<br />
ธรรมชาติ เพราะเป็นการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ตรง<br />
นอกจากนี้ จากการแบ่งสมองออกเป็น 2 ด้าน คือ สมองซีกซ้ายซึ่งสั่งการเกี่ยวกับ ตรรกะ<br />
ตัวเลข การวิเคราะห์ และสมองซีกขวาซึ่งสั่งการเกี่ยวกับ ศิลปะ ดนตรี จินตนาการ การสังเคราะห์<br />
ทำให้เราเข้าใจถึงความสามารถที่แตกต่างกันของการทำงานของสมองทั้งสองซีกของผู้เรียน ซึ่ง<br />
ส่งผลถึงการมีสติปัญญา วิธีการ และประสิทธิภาพการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ<br />
การที่ผู้สอนควรมีการจัดหากิจกรรมที่บูรณาการระหว่างกิจกรรมหลายๆ รูปแบบเข้าด้วยกัน และ<br />
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นเป็นผู้เลือกที่จะทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งตามความสามารถ ความถนัด<br />
และความสนใจ เช่น การให้เลือกที่จะนำเสนอผลงานในรูปแบบที่ผู้เรียนมีความถนัด เช่น แต่งเรื่อง<br />
แต่งเพลง เล่นดนตรี ผลิตสื่อนำเสนอ ทำรายงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้<br />
ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ตามอัตราความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของผู้เรียน<br />
3) คอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism)<br />
ทฤษฎีการเรียนรู้ คอนสตรัคติวิสต์ เกิดจากแนวคิดที่ว่า การเรียนรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็น<br />
ผู้ลงมือกระทำ และสร้างสรรค์ผลงานมากกว่า การเรียนเชิงรับของผู้เรียนจากการถ่ายทอดของ<br />
ครูผู้สอน การลงมือกระทำและสร้างสรรค์ผลงานนั้น เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมกับ<br />
กิจกรรมการเรียนรู้นั้นๆ อย่างกระตือรือร้นจนกระทั่งผู้เรียนเกิดการสร้างความหมาย ความเข้าใจ<br />
และในที่สุดสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่<br />
ผู้เรียนสามารถสร้างให้เกิดขึ้นเองและเป็นสิ่งเฉพาะตัว ดังนั้นการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์<br />
จึงถือเป็นการเรียนรู้ในลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ครูผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีคอน<br />
สตรัคติวิสต์จะมุ่งเน้นการสำรวจ การแสวงหาความรู้ การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ และการ<br />
คิดแก้ปัญหาด้วยตนเองผ่านทางกิจกรรมที่ใกล้เคียง หรือเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงๆ เพื่อให้<br />
ผู้เรียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้จากชั้นเรียนไปสู่สถานการณ์จริงได้ นอกจากนี้ คอนสตรัคติวิสต์<br />
จะเน้นการเรียนรู้ในลักษณะร่วมมือ กล่าวคือ ผู้เรียนจะต้องสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับผู้เรียนอื่นๆ<br />
ในการสร้างงานต่างๆ ร่วมกัน สำหรับการประเมินผลตามแนวคอนสตรัคติวิสต์นี้ จะ เน้นการให้<br />
ผู้เรียนรู้จักประเมินผลความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของตนเอง ร่วมไปกับการที่ผู้สอนจะต้องคอย<br />
สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในขณะทำกิจกรรม รวมทั้งการประเมินจากพอร์ทโฟลิโอซึ่งได้แก่<br />
ชิ้นงานต่างๆ ที่ผู้เรียนได้มีการรวบรวมไว้ ซึ่งชิ้นงานดังกล่าวจะต้องสะท้อนความสามารถที่แท้จริง<br />
ของผู้เรียน อันที่จริง คอนสตรัคติวิสต์ ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่อย่างใด เพราะเกิดขึ้นมากว่า 10 ปีแล้ว<br />
แต่ผลของการนำไปใช้ในสถาบันการศึกษาในบ้านเรานั้น ยังค่อนข้างจำกัด ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ<br />
ข้อจำกัดในด้านต่างๆ เช่น ขนาดของชั้นเรียน ภาระงานของครูผู้สอน ตัวอย่างการปฏิบัติที่ดี เป็นต้น<br />
6<br />
จากที่ได้กล่าวมานั้น จะเห็นได้ชัดว่า ทฤษฎี/รูปแบบการเรียนรู้ทั้งหมด ที่ได้กล่าวถึงนั้น มี<br />
ความคาบเกี่ยวกันอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทฤษฎี/รูปแบบการเรียนรู้ในอนาคตเกือบทั้งหมด จะ<br />
มุ่งเน้น ในด้านการเรียนรู้ในลักษณะร่วมมือและผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งการใช้สื่อที่<br />
หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สื่อไอซีที อย่างไรก็ตาม แต่ละรูปแบบ/ทฤษฎีนั้น ก็จะมีข้อ<br />
แตกต่างในรายละเอียดบางประการ ตัวอย่างเช่น การมุ่งเน้นในเรื่องการสร้างทำ สร้างองค์ความรู้/<br />
ชิ้นงานของทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์ หรือ การมุ่งเน้นในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย<br />
สำหรับผู้เรียน อันเนื่องมาจากความแตกต่างในด้านของสติปัญญา วิธีการและประสิทธิภาพการ<br />
เรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งเป็นผลจากการทำงานของสมอง เป็นต้น<br />
บทสรุป<br />
บทความนี้ได้นำเสนอถึง รูปแบบและทฤษฏีการเรียนรู้ในยุคสมัยหน้า ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้<br />
แบบร่วมมือกันของผู้เรียน ภายใต้การที่ผู้สอนวางฐานความรู้ (knowledge scaffolding) ให้กับผู้เรียน<br />
อย่างเหมาะสม ผ่านการใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ รวมทั้ง มุ่งเน้น การออกแบบกิจกรรม<br />
การเรียนรู้ของผู้สอน ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประสบการณ์ของผู้เรียนที่เป็นรูปธรรมและสามารถ<br />
ถ่ายโอนการเรียนรู้จากชั้นเรียนไปสู่สถานการณ์จริงได้<br />
สุดท้ายนี้ จากที่ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ในยุคสมัยหน้า ทั้ง 3 ตอน ซึ่ง<br />
ครอบคลุม แนวคิดเกี่ยวกับ รูปแบบ/ทฤษฎีการเรียนรู้ (ที่ได้นำเสนอในบทความนี้) บทบาท และ<br />
คุณลักษณะของผู้สอนในยุคสมัยหน้า (บทความตอน 1) และ ของผู้เรียนในยุคสมัยหน้า (บทความ<br />
ตอน 2) ไปแล้วนั้น ผู้เขียนขอเน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญมากที่สุด ในการปฏิรูปการศึกษา การปรับเปลี่ยน<br />
วิธีการสอน และการเรียนรูใ้ ห้ตอบสนองกับสังคม/ เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และรูปแบบการ<br />
เรียนรู้ในยุคสมัยหน้าที่กำลังจะตามมา (next-generation of learning) นั้น ได้แก่ ความพร้อมของ<br />
ผู้สอน และผู้เรียน ในการตอบสนองกับวิธีการสอนและการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในการปรับ<br />
การเรียนเปลี่ยนการสอนของทั้งผู้สอนและผู้เรียนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องอาศัย เวลา ความพยายาม<br />
งบประมาณ รวมทั้ง ความร่วมมือร่วมใจ จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น สถานศึกษา ชุมชน<br />
ผู้บริหาร รัฐบาล เป็นต้นICT Bloghttp://www.blogger.com/profile/10074429769959680842noreply@blogger.com1